พรหมลิขิต อาจไม่มีความหมาย
ถ้าหัวใจ
ยังอบอุ่นดี
1
คืนที่
1
Rinjungs
Part
อากาศยามเช้าของวันใหม่ที่สดชื่น
แสงแดดอ่อนๆ เสียงลมเสียงนกพลิ้วตามสายลมกลิ่นอาหารหอมยั่วจมูกน่าลิ้มลอง
สาววัยกลางคนที่หน้า-ผมเป๊ะ หุ่นดีราวกับสาวแรกรุ่น ในชุดผ้ากันเปื้อน
กางเกงขาสั้นเสมอก้นโชว์เรียวขาขาว อกเอวรับกันสมส่วนพิมพ์นิยม
ฟอดด...
#
กอดหอมจากด้านหลัง
รินจัง
: "
มอร์นิ่งครับแม่ หอมจังเลย"
คุณแม่
: "
หมายถึงแม่หรือของกินคะลูกที่ว่าหอมเนี่ย"
รินจัง
: "
ก็ทั้งสองอย่างแหละครับ"
คุณแม่
: "
จะสายแล้วนะเรา ไปปลุกพี่รินได้แล้วปะ"
รินจัง
: "
เอ่อ...ให้ปลุกรินซัง ผมไม่กล้าหรอก"
คุณแม่
: "
ไปเถอะลูก พี่เค้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอรินจัง"
รินจัง
: "
พี่ไม่น่ากลัวพี่น่ารัก แต่พี่ไม่ชอบรินจัง"
คุณแม่
: "
ทำไมคิดยังงั้นล่ะลูก เราสองคนก็เหมือนคนๆ เดียวกัน
เกิดมาพร้อมกัน มีอะไรก็ต้องแบ่งปันกัน พี่เค้าจะเกลียดตัวเค้าเองทำไมลูก
ผมจำต้องคลายวงแขนออกและเดินกลับขึ้นไปชั้นสองแต่โดยดี
ร่างผมรู้สึกสั่นเวลานอนคือเวลาที่รินซังมีความสุขที่สุด ห้องนอนเราทั้งสองเป็นห้องแฝดทรงตัวแอลประกบกันมีทางเดินเล็กๆ
และประตูเชื่อมไปมาหากันได้ตลอดเวลา คนนอกจะไม่รู้เพราะมันเป็นทางบิวท์อินขึ้นมาใหม่ผมชอบเข้ามานั่งดูรินซังตอนหลับ
มองอยู่เฉยๆ ก็มีความสุขแล้ว มือเอื้อมไปบิดประตูตรงทางเข้าปกติร่างสูงนอนก้มหน้าฟุบกับที่นอนอย่างสบายอารมณ์
ภายในแต่งโทนสีเข้มตัดกับผิวเนียนมืดขนาดนี้จะรู้ได้ไงว่านี่มันกี่โมงแล้ว
รินซังยังนอนนิ่งผมรู้สึกประหม่าแต่ก็ต้องรีบปลุก เอื้อมมือไปตีต้นแขนเบาๆ ร่างรินซังเริ่มตอบสนองงัวเงียส่งเสียงรำคาญ
อืมม...อืม...อาราย
พลิกซีกหน้าออกจากหมอนมางึมงำใส่ผม
มือเริ่มปัดป่ายอยู่ในอากาศไล่ผม ก่อนจะคว้าข้อมือได้และฉุดให้ร่างล้มไปกลิ้งทับบนตัวร่างสะลึมสะลือพลิกขึ้นทับทันที
ผมถูกตรึงด้วยร่างอุ่นหน้าซุกอยู่ที่อกเปลือกตายังปิดสนิท รู้สึกแปลกๆ ที่นอนอยู่ในท่านี้แต่มันก็รู้สึกดี
เพราะรินซังไม่ยอมโดนตัวผมมานานแล้ว หน้าสวยเลยคลี่ยิ้มอัตโนมัติ
ฝ่ามือลูบแผ่นหลังคนบนร่างอย่างลืมตัวแรงกอดตอบสนองกลับจากคนที่หลับใหลยิ่งมีความสุข
ก็สุขอยู่ได้ไม่นานมือที่รวบแขนไว้เริ่มคลายตัวเปลี่ยนมาสอดเข้าใต้เสื้อพลิ้วผ่านเนินท้องขึ้นมาตามแนวสูง
ผมตื่นเต้นแต่พยายามสงบอารมณ์ได้ดิ้นหนีไปไหน
อยากอยู่สภาพนี้อีกสักพักชายเสื้อเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นตามฝ่ามือ
หน้าที่ซุกแผงอกเริ่มขยับริมฝีปากจูบซับเบาๆ เดาอารมณ์คนบนร่างไม่ออกจริงๆ ว่าตอนนี้ฝันถึงใครและกำลังฝันว่าอะไรอยู่
ปากครอบทับเม็ดอ่อนนิ่ม ขยับปากจากเบาเริ่มดูดดึงหนักขึ้นทั้งดูดทั้งกัดจนผมเผลอปล่อยเสียงคราง
ต้องรีบเอามือมาปิดปากไว้ผ่อนลมให้ใจให้ร่างสงบ
รอยที่ถูกกัดจนเจ็บเริ่มเสียวซ่านจากปากที่ชุ่มชื้นจูบเบาๆ ปล่อยประโลม
ตุ่มที่ตอนนี้แข็งเป็นไตมือเคลื่อนสะกิดอีกข้างให้แข็งตาม
รินซัง
: "
ทนดีนิ ทำไมไม่ร้อง"
#
ถามเสียงเย้ย
รินจัง
: "
ตื่นแล้วก็ลุกสิ สายแล้ว"
รินซัง
: "
กูถามว่าทำไมไม่ร้อง"
รินจัง
: "
ก็เฉยๆ จะให้ร้องอะไร"
#
พูดแบบชิวมากๆ
รินซัง
: "
หรอ ไม่รู้สึกอะไรล่ะสิ"
รินซังลืมตาสำรวจร่างผมตอนนี้
พร้อมกับแสยะยิ้มบางก่อนจะกระซิบว่า "
กูจะลงโทษมึง
บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเข้ามา" เสียงแหบพร่า ทำงานพร้อมกับหลายๆ ส่วนในร่างกายร่างที่อยู่แค่ทับเริ่มขึ้นคร่อม
คำแสลงกระซิบออกมาอย่างต่อเนื่องจมูกไซ้ซอกคออย่างหื่นกระหาย
ริมฝีปากขบดูดจากเนินไหล่ลงไปตามช่องท้อง
รินซัง : "
ร้องสิ ร้องออกมา"
#
มือปิดปากกลั้นเสียงน่าอาย
รินซัง
:"
ห้องกูเก็บเสียง กูจะทำให้มึงครางจนไม่มีแรงพูดเลย"
อารมณ์ดิบฟัดร่างผมหวังจะเอาชัยชนะ
ยิ่งเสียงผมอู้อี้กระเส่ามากเท่าไรยิ่งยั่วให้รินซังรุนแรงมากเท่านั้น ผมเริ่มเคลื่อนตัวหนีฝ่ามือที่บีบช่วงก้นจนขึ้นรอยถอยหลังจนตอนนี้พิงหัวเตียงกึ่งนั่งกึ่งนอนมือที่ขย้ำก้นกลมเริ่มเคลื่อนมาด้านหน้าลูบไล้แท่งร้อนมือกำแน่นชักขึ้น-ลงรัวทำให้ผมยั้งเสียงไว้ไม่ไหว
"
อ๊ะ อ๊ะ อ้าาา...บะ...บะ...เบาหน่อยสิ"
#
รินซังยิ้มพอใจ
รินซัง
: "
ไม่อยากเจ็บตัวก็ร้องออกมาสิ"
รินจัง
: "
ไอ้โรคจิต"
ยิ่งด่ายิ่งกระตุ้นอารมณ์
รินซังบีบกรามผมให้เชิดหน้ารับรสจูบดิบได้อย่างเต็มที่ปลายลิ้นเข้ามาดูดชิมโพลงปากอย่างไม่ได้รับเชิญ
ยิ่งผมดิ้นหันหนียิ่งบีบแน่นจนเจ็บร้าวเสียงอู้อี้บ่นประท้วงที่ไม่มีอากาศให้หายใจ
คนบนกายดูดปลายลิ้นจนมันหวานผมรู้สึกตัวลอยพร่ากับบทจูบที่รุนแรงแต่ยั่วยวน
ก่อนรินจะกระซิบมา
รินซัง : "
อยากให้กูทำต่อก็ถอดเสื้อผ้าออก"
สายตาเย้ยหยันท้าทายผมรู้ว่ารินซังต้องการให้ผมกลัวและไม่มายุ่งกับเค้าอีก
แต่ผมใช่จะยอมคนซะที่ไหน หลบสายตาที่จ้องทุกการกระทำก่อนดึงชายเสื้อขึ้นเพื่อถอดมันออก
"
มึงคิดให้ดีนะ ถ้าอยากขนาดนั้นก็จะเอาให้บานเลย"
#
กูเตือนมึงนะรินจัง
ผมเม้มปากช่างใจก่อนจะสลัดเสื้อให้พ้นจากร่างโชว์ผิวสวยส่งสายตาเย้ยหยันไม่เกรงกลัวออกไป
ฝ่ามือที่กำไว้จนชื่นตรงเข้าประครองหน้ารินซัง ประกบปากจูบแผ่วเบาไร้การตอบสนองใดๆ
ร่างรินซังที่ดันผมมาจนชิดหัวเตียงยิ้มบางๆ ก่อนจะชันตัวขึ้น
บีบกรามผมให้ไปอยู่ใกล้ๆ
รินซัง
: "
ทำให้กูสิ"
รินซัง
: "
อยากจะรู้ ว่ามึงเด็ดสักแค่ไหน"
ผมดึงกางเกงออกอย่างกล้าๆ
กลัวๆ มือรินซังยังบีบค้างไว้เร่งการกระทำของผม หน้าผมอยู่ใกล้พ่วงนิ่มแค่คืบ ก่อนที่ฝ่ามือจะบีบเน้นให้ผมอ้าปากรับพวงนั้นเข้ามา
ปากที่พร่ำออกคำสั่งคือปากที่สร้างความเจ็บปวดให้ผมมาตลอด
ปลายลิ้นเลียขาอ่อนแผ่วเบารอยแยกสามเหลี่ยมที่มีเส้นขึ้นหนาถูกจัดระเบียบด้วยลิ้นร้อยอย่างเอาใจ
ก้อนกลมๆ ถูกดูดดึงจนเจ้าของเผลอครางกระเส่า แท่งเอ็นปูดแข็งเต็มลำพร้อมรบทันทีที่ปากผมครอบทับ
ฝ่ามือที่เคยรุนแรงก็ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนเอาใจแววตาที่ก้มมองลงมาอ่อนโยนจนผมคิดว่าฝันไป
เคลื่อนตามแรงบังคับของฝ่ามือความยาวทิ่มไปถึงคอหอยจนผมสำลักแต่ก็ยังยอมทำต่อ
หางตามีริ้วน้ำตาบ่งบอกว่าผมทรมานเหมือนกัน ฝ่ามือหนาเกลี่ยหยดน้ำตาให้อย่างทะนุถนอม
รินซัง
: "
มึงจะเจ็บกว่านี้อีกหลายเท่า เปลี่ยนใจยังทัน"
น้ำเสียงปกติที่พูดกับผมในขณะที่แท่งร้อนยังคาปาก
ผมยังขยับขึ้น-ลงตลอดเหมือนบอกว่าผมไม่เอาไหนเลย รินซังไม่รู้สึกถึงความเสียวซ่านเลยสักนิด
ผมยิ่งเร่งปากให้ดูดแรงๆ มือช่วยขยับถี่จนเจ้าของแท่งเชิดหน้าครางไม่ได้ภาษา อีกไม่นานรินซังต้องแตกใส่ปากผมแน่
แล้วผมก็จะเป็นผู้ชนะที่สามารถปลดปล่อยรินซังได้ ฝ่ามือหนาดันตัวผมออกทันที
ก่อนจะเป็นฝ่ายกระหน่ำจูบซุกไซ้ร่างผมซะเอง
รินซัง : "
ถอดกางเกงออกซะ"
#
กูจะไม่ไหวแล้วนะรินจัง
พูดจบร่างรินซังก็ละออกจากตัวผมไปนั่งขอบเตียงทันที
ผมรู้สึกได้ว่าเหงื่อผุดเต็มใบหน้าเลือดสูบฉีด แต่รินซังพยายามสะกดกลั้นไว้กางเกงหลุดพ้นออกจากร่าง
ผมสอดมือไปกอดรินซังจากด้านหลังพ้นลมหายใจอุ่นที่ต้นคอ
รินซัง : "
มานั่งตักกูนี่"
ผมลุกมาจะทิ้งร่างบนตักรินซัง
มือหนาจับเข้าที่ช่วงเอวก่อนจะดึงไม่ให้ผมนั่งลงไป ผมตวัดสายตามองทันที ริมฝีปากยื่นมาจูบผมอย่างร้อนอีกครั้งสองมือถูกรวบไว้
รินซังใช้กางเกงตัวย้วยของตัวเองมัดผมไว้ลวกๆ ความรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่ที่ร่างกายไร้อิสรภาพ
บทจูบที่เร้าร้อนยิ่งเปลี่ยนผมไปทันที
แขนรินซังล็อคเอวไว้หน้าซุกไซ้แผ่นหลัง
มืออีกข้างลูบขาอ่อนด้านหลังขึ้นขยำก้อนกลม
มือที่ล็อคเอวเริ่มขยับแก่นกลางให้ผม เมื่อมาจนถึงจุดนี้
ผมคงไม่กลั้นเสียงไว้อีกแล้วเปล่งเสียงหวานครางตามจังหวะที่รินซังมอบให้ รู้สึกถึงสิ่งที่เย็นชื้นอยู่ร่องด้านหลังหน้าหล่อๆ
ของรินซังจมหายไปที่ปั้นท้ายกลมมือแยกร่องเผยช่องเชื่อมต่อให้เด่นขึ้น
ผมกระตุกตัวปลดปล่อยครั้งแรก ร่างกายของรินซังยังเสพทุกส่วนอย่างต่อเนื่อง โก้งโค้งให้สะโพกลอยเด่นรับริมฝีปากอย่างเอาใจ
น้ำลายที่เปียกชุ่มเป็นสารหล่อลื่นที่รินซังใช้เพื่อสอดนิ้วเข้าไปในร่างผมกว่าจะเข้าไปจนสุดได้
ผมก็ครางกระเส่าด้วยความเจ็บปวด
รินซัง : "
เล่นของตัวเองให้กูดูหน่อย"
#
ผมรู้สึกงงกับคำสั่งนี้
รินซังค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปกลางที่นอนดึงขาสองข้างของผมให้ชันคร่อมร่างรินซังไว้บั้นท้ายยังเปียกชื้น
เพราะรินซังเลียให้อย่างต่อเนื่อง นิ้วขยับเข้า-ออกจนจุกไปหมด
มืออีกข้างแกะมัดกางเกงออก
รินซัง : "
ทำแบบที่กูทำเนี่ย"
มือข้างที่ถนัดถูกดึงอ้อมไปด้านหลัง
ผมเก้ๆ กังๆ ที่จะทำตามฝ่ามือหนาลูบท้องน้อยปลอบประโลม "โชว์ให้กูดูซิมึงเด็ดขนาดไหน"
คำพูดที่เปล่งออกมายังทิ้งลมอุ่นๆ ไว้ที่บั้นท้ายผมปลายนิ้วผมวนจนมันเข้าไปได้แต่ยังไม่สุด
ผมเหลียวหลังมองหน้ารินซังที่ตอนนี้จ้องทุกการกระทำของผมไม่วางตา สายตาดำขลับปลุกอารมณ์ดิบในตัวผมให้กระหนำรั่วนิ้วไม่หยุดครางยั่วจนแท่งของรินซังเองก็ตื่นตัวฝ่ามือหนาเอื้อมมารีดน้ำให้ผมทั้งๆ
ที่เพิ่งปล่อยไปจนมันแตกมาอีกรอบ
รินซัง
: "
อย่าเอามือออกนะ ทำต่อไป"
มือที่ไร้เรี่ยวแรงยังหมุนนิ้ววนต่อไปขาสั่นจนหน้าที่เคยเชิดฟุบกลับที่นอนเพื่อประคองก้นไว้รู้สึกถึงความตรึงคับ
เมื่อมีนิ้วเพิ่มเข้ามาผมฟุบหน้าเหลือบมองมือผมประสานกับมือรินซังนิ้วเรากระแทกใส่รัว
จากที่จุกอยู่เริ่มโดนจุดเสียวจนเผลอครางเสียงหลง รินซังยิ้มอย่างพอใจก่อนจะตบแรงๆ
ที่ก้นขาวแหวกร่องออกกว้างๆ ภาพที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือรินซังขึ้นคร่อมร่างผมสอดแท่งร้อนเข้ามามือผมคงไม่จำเป็นแล้ว
จังหวะที่รินซังมอบให้ทำให้โลกของผมสั่นไม่เป็นจังหวะและค่อยๆ มืดดับไป
คุณแม่
: "
อ้าว!! รินซัง ไหนแม่ให้น้องไปตามเราแล้วทำไมลงมาคนเดียว"
รินซัง
: "
ผมใช้ให้มันลอกการบ้านให้อยู่น่ะแม่
วันนี้คาบเช้าว่าง"
คุณแม่
: "
งั้นลูกก็ขับรถไปกันเองนะ แม่รีบไปประชุมก่อน"
รินซัง
: "
ครับ"
คุณแม่
: "
แม่ทำน้ำมะนาวให้น้องด้วย เอาขึ้นไปให้น้องสิ"
#
แววตาแม่ยิ้มล้อ
2
คืนที่
2
Darins Part
@
มหาลัยชื่อดังใช้แบงค์พันแทนร่มบังแดด
เคยอ่านเจองานวิจัยตัวหนึ่งที่ว่า
คนที่นอนเยอะๆ สามารถเพิ่มระดับไอคิวสมองได้
#
ผมไม่ได้ขี้เกียจนะครับ
ผมใช้กฎข้อนี้กับการใช้ชีวิตมาตลอด เข้านอนสี่ทุ่มตื่นเจ็ดโมงเช้าไม่ชอบให้ใครปลุกไม่ชอบคนมั่นหน้าใส่
ไม่ชอบคนตัวขาว ไม่ชอบคนปากแดงร่างบาง ครางเสียงใสๆ ในตอนนี้เลย
แต่ผมหยุดมันไม่ได้ ผมทำไปโดยสัญชาตญาณของหัวใจ
รินจัง
(Image) //
แฝดผู้น้อง ผิวขาวสไตล์ลูกคุณหนู ร่างบาง
อกไม่ผายก้นงอนงามขัดกับเอวคอด อ้อนแอ้นสไตล์ผู้ชายเรียบร้อยวันๆ สิงตัวอยู่แต่กองหนังสือ
เข้าครัวทำอาหาร บางทีผมก็คิดว่าผมมีน้องสาวนะหนุ่มหลายคนยังอยากจีบด้วยซ้ำ
แต่ถ้าวันนี้รินจังเป็นผู้หญิงผมคงทำผิดมากแต่เพราะเค้าเป็นผู้ชายผมถึงทำทุกอย่างตามที่เสียงหัวใจผมต้องการ
ร่างบางบ่นอิดออดตลอดทางตั้งแต่ขึ้นรถมาดูกระสับกระส่ายผมเอื้อมมือไปอังหน้าผากตอนที่รถติดไฟแดงแทบสะดุ้งตัวร้อนจัดขัดกับอุณหภูมิแอร์ในรถ
ผม
: "
รินจัง นี่มึงแน่ใจนะว่าไหว"
รินจัง
: "
อืม"
ผม
: "
กูวนกลับไปส่งที่บ้านไหม?"
รินจัง
: "
ไม่เอา กูมีเทสเก็บคะแนน"
ผม
: "
แมร่ง!! ไปเทสสภาพนี้ มึงคงทำได้หรอก"
รินจัง
: "
เออ!! กูเก่ง มึงลืมไปแล้วหรือไง"
ผม
: "
ใช่เก่ง โดยเฉพาะปากมึง"
#
สายตาและน้ำเสียงเย้ย
ผมวนรถไปส่งรินจังที่หน้าตึก
บรรยากาศช่วงสายๆ แบบนี้แดดร้อนระอุค่าเทอมแพงขนาดนี้ น่าจะติดแอร์ที่ทางเดินมันด้วยเลยนะ
ผมละสงสารคนร่างบางผิวขาว ยิ่งโดนแดดยิ่งขาวอมชมพู ผิดกับผมมาทางเข้มกร้านแดด
สไตล์นักกีฬา
ผม
: "
ให้กูเดินไปส่งมึงที่ตึกไหม?"
รินจัง
: "
กูไม่ใช่เด็กนะ ไม่หลงหรอก"
ผม
: "
ปากดีนักนะมึง ลงเดินให้ได้ก่อน"
รินจัง
: "
ห่วงเหรอ?"
ผม : "
อืม
ก็โดนกูไปมึงคงเจ็บน่าดู"
ผมพูดออกไปตรงๆ
แอบเห็นหน้าของร่างบางอมยิ้มน้อยๆ อย่างดีใจ ทำไมนะปากของผมไม่เคยคิดจะโกหกรินจังเลยซักครั้ง
ทั้งที่ผมเป็นคนแพรวพราวไหลลื่นชนิดหาตัวจับยากทุกอย่างที่ผมทำ
มันเรียกว่าการบริหารเสน่ห์
#
แต่กับรินจังมันออกมาจากใจ
ผมมองจนรินจังเดินหายเข้าไปในตึกก่อนจากออกไปเรียนคณะตัวเองเหมือนกัน
เด็กวิศวะปีหนึ่งยังเน้นวิชาการ ผมมาเรียนก็เหมือนมานั่งเสพบรรยากาศห้องเรียนรอบๆ ตัว
ถ้าไม่ติดว่าต้องมาส่งรินจัง มาเช็คชื่อเข้าคลาสผมไม่มาให้เปลื้องน้ำมันรถหรอก เนื้อหาของปีหนึ่งผมอ่านจบครบทุกวิชาตั้งแต่ช่วงปิดเทอม
ก็บอกแล้วไงการพักผ่อนทำให้เซลสมองผมดี ไอคิวสูงขึ้น จริงๆ นะ
อาจารย์ : "ดารินทร์"
ผม : "ครับ"
อาจารย์ : "เทสรอบที่แล้ว เราได้คะแนนเต็มสิบนะ ยังไงช่วยมาสรุปเนื้อหาที่เพิ่งสอบไปให้เพื่อนฟังหน่อยสิ"
ผม : "ครับ"
อาจารย์
: "
เนื้อหาที่ดารินทร์พูดมา
อาจารย์ว่าเข้าใจง่ายมาก ถูกต้องครบถ้วนเพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่าตัวเองสอบตก
ให้พยายามเข้าหาเพื่อนบ้างลองถามซิเพื่อนเรามีเทคนิคช่วยจำยังไง?
แล้วทำรีพอร์ตส่งมาด้วย อาจารย์จะปรับคะแนนให้เป็นห้าคะแนน
สำหรับคนที่ส่งรายงานถูกต้อง ครบถ้วนตรงเวลา ภายในวันพุธนี้นะ"
อ่านมาถึงตรงนี้คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่าผมเรียนเก่ง
#
หลงตัวเอง
ผมพยายามส่งยิ้มทักทายให้กับเพื่อนใหม่หลายๆ
คนที่เข้ามาทำความรู้จักสาวร่างบางในชุดนักศึกษา
เสื้อฟิตรัดรูปกระโปรงสั้นเอื้อมปลายนิ้วมาสัมผัสที่ต้นแขนผม
พร้อมทั้งพยายามเข้ามาใกล้ๆ พูดเสียงอ่อนเสียงหวานหยอกล้อ
หวังจะขอให้ผมไปช่วยติวให้เธอในวันพรุ่งนี้
แนนนี่ :"ดารินทร์คะ พรุ่งนี้ไปช่วยแนนนี่ทำรายงานส่งอาจารย์หน่อยได้ไหมคะ
นะคะๆ ช่วยหน่อยนะ"
ดารินทร์ : "ผมขอดูก่อนนะ ว่าจะว่างไหม
?"
แนนนี่ : "ออ นัดแฟนไว้แล้วหรือเปล่าคะ แนนนี่รบกวนหรือเปล่า"
ดารินทร์ : "ไม่ใช่แฟนหรอกครับ
ผมขอถามน้องผมก่อนว่าเค้าจะไปไหนไหม
?"
แนนนี่ : "อ๋อค่ะ งั้นขอเบอร์ของดารินทร์ไว้ได้ไหมคะ"
ดารินทร์ : "เอาเบอร์แนนมาดีกว่าครับ เดี๋ยวผมโทรบอกเอง"
ผมรับโทรศัพท์กลับมาพร้อมกับเห็นเบอร์ที่เพิ่งกดโทรออกไปขนาดว่าเลี่ยงไม่อยากให้เบอร์แล้วนะ
แต่ก็พลาดจนได้ผมไม่ได้รังเกียจอะไรเธอหรอกนะ แค่ไม่อยากเพิ่มใครเข้ามาในโลกส่วนตัวของผมอีก
ไม่อยากให้ใครสำคัญกว่า พ่อแม่และรินจัง
#
อ่านมาถึงตรงนี้
คงรู้แล้วนะครับว่าผมไม่ชอบยุ่งวุ่นวายกับใคร โลกส่วนตัวสูง
ผม
: "
ไงมึงรอกูนานไหม?"
รินจัง
: "
สักพักแล้วล่ะ"
ผม
: "
แล้วทำไมมึงไม่ไปรอร่มๆ ไม่เห็นไงแดดมันร้อน
ผม
:
มึงยิ่งไม่สบายอยู่"
รินจัง
: "
กูกลัวมึงมารับแล้วไม่เจอ"
ผม
: "
แล้วสอบได้ไหม"
รินจัง
: "
โห่!! ได้ทำน่ะสิ ออกอะไรก็ไม่รู้ไม่ตรงที่อ่านมาสักนิด"
ผม
: "
มึงอ่อนเองมากกว่า"
รินจัง
: "
คงใช่มั้ง กูมันไม่ได้เรื่องสักอย่างอยู่แล้วนิ"
ผม
: "
ไม่จริงหรอก บางเรื่องมึงก็โคตรเด็ดนะ
กูคอนเฟิร์ม"
รินจัง
: "
ทั้งที่เราเป็นพี่น้องกัน
ทำไมกูไม่เก่งเหมือนมึงบ้าง ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง"
ผม
: "
คนเราเหมือนกันมากๆ มันก็น่าเบื่อนะเว้ย
แตกต่างอะดีแล้ว"
รินจัง
: "
ต่างอย่างอื่นได้ไหม"
#
ทำหน้าเศร้าแก้มป่องปากยื่น
ผม
: "
พอๆ เอางี้เดี๋ยวพาแวะร้านเค้กเจ้าอร่อยแล้วกัน
จะได้อารมณ์ดีขึ้น"
รินจัง
: "
อืม
#
รู้ใจกูที่สุด
ร้านเค้กเจ้าประจำที่พวกผมชอบมากินกัน
เป็นร้านเล็กๆ อยู่ในซอยลึกผู้คนไม่พลุกพล่าน
บรรยากาศโฮมสเตย์ทำไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เจ้าของร้านเป็นรุ่นพี่ที่จบจากคณะผม
ผมเลยเป็นขาประจำร้านนี้
ที่ร้านทำโฮมเมคเกี่ยวกับขนมด้วย
รินจังจะเพลิดเพลินเป็นพิเศษขนมเค้กแปลกๆ วางเรียงรายยั่วน้ำลายน่าลิ้มลอง
ผมยืนอยู่นานกว่ารินจังจะตัดสินใจเลือกได้โลกของรินจังเวลาอยู่กับขนมสีหวาน
มองเพลินจนผมไม่อาจละสายตาได้แสงสีนวลที่ใช้ขับหน้าตาขนมให้น่ากินยิ่งขึ้น ขับผิวขาวละเอียดให้ยิ่งงดงามดวงตากลมใสโดยไม่ต้องใสคอนแทคเลนส์
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนยามที่เม้มปากช่างใจมันยิ่งกระตุกให้ใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
ผม
: "
กว่าจะเลือกได้นะมึง"
รินจัง
: "
ก็มันน่ากินทุกอย่าง"
ผม
: "
กูเหมาให้หมดเลยไหม จะได้ไว้กินที่บ้านด้วย"
รินจัง
: "
จริงหรอ?
ได้หรอ?
มึงจะไม่ว่ากูตะกละใช่ไหม"
ผม
: "
ถ้ามึงไม่เกรงใจว่าลูกค้าคนอื่นเค้าจะไม่มีกินอะนะ
กูก็ซื้อให้ได้"
รินจัง
: "
ก็มันน่ากินทุกอย่าง"
ผม
: "
ไม่อะ กูเห็นน่ากินอยู่อย่างเดียว"
#
ผมมองสายตาวิบวับ
รินจัง
: "
ชิ้นไหนวะ กูไม่สั่งเพิ่มให้ไหม"
ผม
: "
มึงไง"
#
สายตาผมจริงจัง
รอยยิ้มจางบนใบหน้า
เคลือบยิ้มยั่วจนผมอยากจะกลับบ้านในตอนนี้เลยเพลงที่เปิดคลอเบาๆ กระตุ้นให้ผมละสายตาไปมองเสพบรรยากาศที่แสนจะสบายไฟสีนวลกับเฟอร์นิเจอร์งานไม้เป็นอะไรที่เข้ากันมาก
(
กริ๊งงง กริ๊ง กริ๊งงง)
เสียงโทรศัพท์เข้ามาขัดจังหวะ
เสียงที่กรอกโต้ตอบกลับมาทำให้ผมนิ่วหน้านึกอยู่นาน
"
ครับ"
.....
"
ใครนะครับ"
....
"
อืมม"
....
"
อ๋อแนนนี่ จำได้สิครับ"
....
"
เรื่องที่นัดกันน่ะเหรอ ผมขอคิดแป๊บนะถ้าไม่ติดอะไรก็โอเคครับ"
เหลือบมองคนตรงหน้ากับท่าทีที่แสร้งทำเป็นไม่อยากรู้
เริ่มไม่สบายใจสายตาผมจ้องลึกลงไปที่ตาสีน้าตาลอ่อนกลมใสที่กำลังก้มหน้าหลบตาราวกับจะอ่านใจคนตรงหน้าว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ทั้งๆ ที่ผมคนธรรมดาไม่ได้มีคาถาอ่านใจอะไรแต่ผมได้ยินเสียงที่พรั่งพรูมาตลอด
// "
หึ แนนนี่ผู้หญิงสินะ"
// "
รินซัง รูปหล่อ รวย เก่ง สาวๆ ก็ต้องกรี๊ดเป็นธรรมดา"
//
ใครจะเหมือนเรา ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง"
// "
แม้แต่เรื่องของหัวใจ
รักไม่ก็ไม่มีทางสมหวังซินะ"
// "
ต้องตัดใจซินะ"
// "
ทำไมไม่เกิดมาเป็นผู้หญิงนะ เฮ้อ!!"
ผมก้มหน้าแล้วตั้งใจฟังทุกอย่างที่ไหลเข้ามาในโสตประสาทของผมเสียงที่ตัดพ้อทำให้ผมเงยหน้ามองทันเห็นแววตาที่เศร้าหมอง
นี่ผมตั้งใจพารินจังมาให้คลายความเครียดแต่ทำไมถึงเครียดมากกว่าเดิมนะ
ผมขอตัวแยกออกไปคุยกับรุ่นพี่เจ้าของร้าน ก่อนจะคว้ากีตาร์โปร่งตัวประจำไปนั่งกลางเวทีเสียงผมเทสไมค์ปลุกรินจังจากภวังค์ทันทีสายตาที่มองมาที่ผมเหมือนสงสัยว่าผมไปทำอะไรตรงนั้น
"
วันนี้อารมณ์ดีครับเลยอยากแชร์ความรู้สึกดีๆ ให้ทุกคนที่กำลังมีคำถามมากมายในหัว
แต่ยังไม่มีคำตอบผมอยากให้รู้ว่ายังมีอีกคนที่อยู่ตรงนี้" ผมเกากีตาร์คอร์ทเพลงหวานคุ้นหู
สายตาที่รินจังมองมาที่ผมตอนนี้เปล่งประกายวิบวับ
ไม่รู้ว่าเค้าเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดไหม
ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ
ที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช ไม่มีราชรถเลิศเลอ
แต่ฉันมีใจพิเศษ จะพาเธอผ่านคืนนี้ไป
ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ
...
อ้างอิง
http://sz4m.com/t4815
(CR.
เพลง เพียงชายคนนี้)
"
ไม่มีฤทธิ์เดช
มีเพียงใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ" ทันทีที่เพลงท่อนสุดท้ายจบลงเสียงแหบเสน่ห์ลูกคอแปดชั้น
เรียกเสียงตบมือจากคนทั้งร้านได้ทันที สายตาที่มองจ้องผมอยู่ตลอดปลาบปลื้มยินดี
รอยยิ้มเบิกบานจนทำให้ผมใจเต้นแรงผมเดินลงจากเวทีมาที่โต๊ะ สายตาหลายๆ คู่ยังมองมาที่ผมตลอด
บรรยากาศระหว่างผมกับรินจังเงียบลง
มีเพียงรอยยิ้มที่ส่งตอบกลับไปมาลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำ
เค้าคงรู้ดีว่าผมร้องให้กับรินจังเพราะผมพามันมาแค่คนเดียว
ซี
"
พี่คะ พี่ร้องเพลงเพราะมาเลยค่ะ"
ผม "ครับ"
ซี
"
ซีอัดคลิปไว้ตั้งแต่ต้นจนจบเลยคะ ขออนุญาตเอาลงยูทูปได้ไหมคะ"
ผม " พี่ว่าอย่าดีกว่านะครับ เดี๋ยวคนเค้าจะอันฟอล์กันหมดนะ"
ซี "ไม่หรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ"
// "
หึ สาวรุมอีกแล้วนะ หมั่นไส้!!"
ผมไม่ใช่ผู้วิเศษจริงๆ
นะครับแต่เสียงนี้ไหลเข้ามาในหูผมเองและผมก็รู้ด้วยว่ามันเป็นคำพูดของใครนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!
เสียงแห่งความคิดของรินจังผมได้ยินของรินจังคนเดียว เพราะอะไรทำไมกัน? ผมลากรินจังกลับบ้านในเวลาต่อมา
เพราะผมต้องรีบเข้านอนก่อนสี่ทุ่มเพื่อระบบประสาทที่ดี
ไอคิวที่ดีในรถระหว่างทางผมก็ยังฮัมเพลงเพียงชายคนนี้ตลอดทาง รอยยิ้มสดใสของคนข้างกายทำให้เค้ามีความสุข
ผมก็มีความสุขไปด้วย
TALK: Rinsung
ผมไม่ได้ฝันไปนะครับ เสียงความคิดของรินจังผมได้ยินมันจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้ยินมันแต่เหมือนว่าผมอ่านใจเค้าออกตลอดแต่ทุกอย่างเราก็ต้องคาดเดาไปตามอารมณ์ของรินจังแต่วันนี้ไม่ใช่หรือนี่จะเป็นเรื่องดีๆ
ที่สวรรค์ให้โชคสองชั้นกับผม
โชคครั้งที่
1
ผมกับรินจังเป็นของกันและกันในวันนี้
โชคครั้งที่
2
ได้ยินเสียงความคิดของรินจังในวันนี้
3
คืนที่
3
Ringsungs Part
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวผมชอบอะไร
เพราะผมทำทุกอย่างได้ดีเท่าๆ กันไม่รู้ว่าจุดด้อยของตัวเองอยู่ตรงไหน
จุดดีของตัวเองคืออะไร คนที่กล้าต่อว่า บ่นด่า ต่อปากต่อคำกับผมจึงเป็นคนสำคัญ
ถ้าคุณเจอใครสักคนที่กล้าว่ากล่าวตักเตือนในสิ่งที่คุณทำผิดให้ลองเปิดใจรับฟังนะ
เพราะคนที่พร้อมจะชื่นชมมีอยู่รอบๆ ตัว แต่คนที่ติเพื่อก่อหาได้น้อยในชีวิตจริง
ผมเรียนวิศวะเพราะผมชอบเครื่องยนต์กลไกหรือเรียกอีกอย่างว่า "ผมชอบควบคุม
"
ก็ได้
กลไกที่หลงใหลอยู่ตอนนี้ก็เจ้าลัมโบกินี่คันงามผมตัดสินใจซื้อมันทันทีที่อ่านบทความจบ
ใจความหลักๆ ก็คือคนที่ก่อตั้งลัมโบกินี่เป็นเพียงชาวไร่ ชาวนาธรรมดามีความรู้มาจากการแก้เครื่องยนต์และผลิตรถแทร็กเตอร์จนเมื่อเริ่มมีฐานะขึ้นก็ได้ครอบครองเจ้าเฟอร์รารี่คู่ใจแต่ยิ่งขับยิ่งรู้สึกไม่ถูกใจ
รู้สึกถึงปัญหาหลายๆ อย่างที่ควรจะแก้ไขบึ่งรถคันงามไปหาเจ้าของเฟอร์รารี่เพื่อบอกในสิ่งที่เค้ารู้สึก
คำดูแคลนที่ตอบกลับมาว่าเค้าเป็นเพียงลูกชาวนาจะรู้ถึงเครื่องยนต์ชั้นสูงได้อย่างไร
เป็นแรงผลักดันให้เค้าสร้าง "ลัมโบกินี่" ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา
คนเรายิ่งอยู่สูง
ยิ่งไม่ยอมรับฟังความรู้สึกของใคร วันนี้ผมโชคดีที่ได้พรวิเศษทำให้ผมได้ยินเสียงความคิดของรินจัง
เวลา
20.33
น.
ลัมโบกินี่สีแดงเด่นเคลื่อนผ่านประตูออโต้เข้ามาในบ้านอย่างง่ายดายเวลานี้ก็
2
ทุ่มแล้ว รถแปลกๆ ที่ผมไม่คุ้นเคยจอดเต็มหน้าบ้านไม่รู้ว่ามีสังสรรค์อะไรกัน
เมื่อเช้าแม่ก็รีบร้อนจนไม่ได้สั่งอะไรไว้ด้วย สีหน้ารินจังงัวเงียลืมตาขึ้นมาพอดี
ผมเลยถือโอกาสถอดสายเบลให้ อย่างเบามือ
ผม
: "
มึงขึ้นไปก่อนเลย กูเอารถไปเก็บชั้นใต้ดินก่อน"
รินจัง
: "
จะชิ่งก็พูดมาตรงๆ เหอะ"
ผม
: "
เฮ้ย!! รู้ได้ไง"
#
หรือมันก็ได้ยินเสียงความคิดของผมเหมือนกัน
รินจัง
: "
มึงก็เป็นงี้ตลอดอะ" //
ทิ้งกูตลอด
ผม
: "..."
#
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา
ผม
: "
งั้นกูเอารถไปเก็บแล้วกูตามไป กูไม่ทิ้งมึงหรอก"
รินจัง
: "
ตามมาจริงนะ"
ผม
: "
เออ"
การได้ยินเสียงความคิดของคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะครับ
ยิ่งเป็นเสียงแผ่วๆ ของรินจังบวกกับหน้าเศร้า ผมทรมานทุกครั้งที่ได้เห็น จากนั้นก็ถอยลูกชายเข้าโรงเก็บรถ
กดรีโมทลงชั้นใต้ดินเรียบร้อยแล้วขึ้นไปทักทายแขกของคุณพ่อ คุณแม่
ตามมารยาทบรรยากาศด้านในไม่อึดอัดอย่างที่ผมเตรียมใจไว้
ครอบครัวหุ่นส่วนของคุณพ่อนัดสังสรรค์กันแบบฉบับนักธุรกิจทั่วๆ ไป
คุณแม่ : "รินจังกลับมาแล้ว เป็นไงบ้างลูกวันนี้เหนื่อยไหมคะ
หิวหรือเปล่า แม่สั่งอาหารจีนที่ลูกชอบมาหลายอย่างเลย"
รินจัง : "ไม่เหนื่อยครับแม่ พี่รินซังเพิ่งพาแวะหาอะไรทานก่อนเข้ามาครับ"
คุณแม่ : "แล้วนี่พี่เราไปไหนซะล่ะ"
รินจัง : "เอารถไปเก็บครับ"
คุณแม่ : "พูดถึงก็มาพอดี มานี่มาลูกมารู้จักเพื่อนของคุณพ่อ"
คุณแม่ : "นี่คุณลุงศิรันทร์กับคุณป้ามุธิตา แล้วนี่ก็น้องศิตา
รู้จักกันไว้สิ"
รินซัง : สวัสดีครับ
พูดคุยกันตามมารยาทสักพักก่อนจะแยกย้ายกันกลับน้องศิตาดูจะคุยถูกคอกับรินจัง
เห็นนั่งติดกันตลอด ด้วยบุคลิกที่คล้ายๆ กัน เรียบร้อย อ่อนหวาน ชอบทำอาหารเหมือนๆ
กัน ผมมองสองคนนี้คุยกันเพลินตาดีเห็นแลกเบอร์กันเรียบร้อยแล้วด้วย
ผู้หญิงเหมือนอาหารตาที่ยิ่งมองยิ่งรู้สึก
ถ้าผู้หญิงคนไหนร้อนแรงคนที่จ้องมองก็จะร้อนรุ่มเป็นไฟ
แต่ถ้าคนไหนเรียบร้อยอ่อนหวานคนมองก็เย็นตาเย็นใจไปด้วย
ความรู้สึกนี้ไม่ได้เป็นกับศิตาคนเดียว ยังเกิดกับรินจังด้วยเวลาที่ผมตั้งใจมองมัน
ตั้งแต่เรื่องในวัยเด็กแม้จะผ่านมาเนินนานแค่ไหนผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีความรู้สึกที่เปลี่ยนผมไปตลอดกาล
ผม
: "
เดี๋ยวก่อน รินจัง"
รินจัง
: "
หืม!!"
ผม
: "
อาบน้ำเสร็จแล้ว มาหาด้วย"
รินจัง
: "
อืม"
ผมปล่อยแขนร่างบางอย่างเบามือ
พูดจบก็เลี้ยวเข้าห้องผมทันที แววตาที่รินจังมองผมเหมือนเครื่องหมายคำถามที่เคลือบรอยยิ้มจางๆ
เอาไว้คือนี้ผมต้องสอนการบ้านน้องสักหน่อย
Rinjungs
Part
//
ผู้หญิงอะไรน่ารัก เรียบร้อยแต่ไม่เปราะบาง
จืดชืดจนเกินไป
//
ศิตาขอล่ะอย่ามองรินซังแบบนั้น
เธอหลงเสน่ห์เค้าแล้วซิ
ความคิดบ้าบอของผมตลอดการสนทนา แม้ว่าปากยังชวนคุยเจื่อนแจ้วแต่ความคิดผมก็ยังทำงาน
ผมชื่นชมผู้หญิงตรงหน้าด้วยความจริงใจคนที่เรียบร้อย อ่อนหวาน แต่ไม่อ่อนแอ
เปราะบางเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่ใครๆ ก็อยากครอบครอง แม้รินซังจะแค่ยิ้มตอบขำๆ ไม่ได้พูดคุยอะไรแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าคุณพ่อของเราทั้งสองตั้งใจให้เราสนิทกัน
สายตาที่ศิตา มองรินซังอ่านได้ว่า "ชอบ" แล้วละ
"
อาบน้ำเสร็จแล้ว มาหาด้วย"
ผมยืนอึ้งกับคำที่รินซังพูดออกมา
ปกติรินซังไม่รับแขกหลังสี่ทุ่ม เพราะเป็นเวลานอน แต่นี่เรียกให้ผมเข้าไปหา
จะให้ไปทำแบบนั้นหรือ
เปล่านะ?
ไม่นะ!! ถึงผมจะยอมเป็นของรินซังแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้แรงงานได้ทั้งเช้า-กลางวัน-
เย็น-ก่อนนอนนะ ร่างก็พังกันพอดี
ความคิดนี้สวนทางกับการกระทำผมมาก
ผมรีบอาบน้ำสระผมใช้โลชั่นกลิ่นหอมจางๆ ที่รินซังชอบ ใส่ชุดนอนแขนยาว-ขายาวสีขาวเช็คสภาพตัวเองจนมั่นใจแล้วก็เคาะนิ้วลงที่ประตูทันที
ไม่นานร่างผมก็เข้ามาในห้องของรินซังทางประตูหน้าอีกครั้ง
รินซัง
: "
มาซะเป็นทางการเลยนะ"
ผม
:"
อะไร"
รินซัง
: "
นี่เตรียมตัวนอนหรือจะไปไหน
กลิ่นมันถึงได้เหม็นฉุนขนาดนี้"
ผม
: "
หอมจะตายไม่เหม็นสักหน่อย
แล้วเรียกมาทำอะไรเนี่ย"
รินซัง
: "
ก็เห็นว่าพรุ่งนี้มีเทสนิ ก็เลยจะติวให้
เทสวิชาอะไรล่ะ"
ผม
: "
การจัดการบัญชีน่ะสิ ตกแน่ สั่งให้ทำรายงานเลยน่าจะง่ายกว่า
รินซัง
: "
กลับไปเอาหนังสือมาไป เดี๋ยวหาข้อมูลรอ" ผมทำท่าจะเดินย้อนออกไปทางเดิม
รินซัง
: "
เฮ้ย!! ไปข้างหลังก็ได้ ง่ายกว่า"
#
หมายถึงทางลับ
ผม
: "
เออๆ"
รินซัง
: "
ชอบประตูหลังมากกว่าว่ะ
ส่วนตัวดีไม่ต้องใช้ร่วมกับใคร"
ผมแอบเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ส่งออกมา
จังหวะที่เผลอสบตาทำให้หน้าร้อนแผ่วรีบก้มหน้าหลบสายตา ขาแข็งเงอะงะไม่รู้จะก้าวไปทางไหนก่อนดี
รู้สึกว่าตัวเองเดินชนมั่วไปหมดกว่าจะรู้สึกตัวผมก็ยืนอยู่ฝั่งห้องตัวเองเรียบร้อยแล้ว
สูดหายใจเข้าปอดให้เต็มที่ หายใจลึกๆ ผ่อนคลายความตื่นเต้นก่อนจะรีบหยิบหนังสือแล้วกลับไปที่ห้องเดิม
เสียงปริ้นเตอร์ทำงานต่อเนื่อง
กระดาษออกมาทีละแผ่นจนครบ รินซังเดินไปหยิบกระดาษส่วนหนึ่งมายื่นให้ผม
รินซัง
: "
อันนี้พรีเทสนะ มี 30
ข้อ
นายเริ่มทำก่อนเลยจะได้วัดว่าที่ฉันติวให้นายได้ผลมากน้อยแค่ไหน"
ผม
: "
นายเอามาจากไหนเนี่ย"
รินซัง
: "
ก็เกร็งข้อสอบที่น่าจะออกให้ไง"
ผม
: "
แล้วรินซังรู้ได้ไงว่าจะออกอะไร"
รินซัง
: "
ถามเยอะน่ารำคาญ เอาเป็นว่ากูเก่งจบไหม"
กระดาษข้อสอบ 30
ข้อ เหมือนหนังชีวิตบัดซบ ฉายซ้ำไปซ้ำมามันยากซ้อนยากไล่อ่านจนงงไปหมดว่า
นาย ก. นาย ข. นาย ค. เค้าคือใครทำไมรินซังถึงทำข้อสอบออกมาได้รวดเร็วอย่างนี้
ผม
: "
ทำไมต้องพรีเทสด้วย สอนเลยไม่ได้หรอ ยากฉิบหาย"
รินซัง
: "
แล้วรักแท้มันเอากันก่อน โดยไม่ต้องจีบได้ปะล่ะ"
ผม
: "
มึงก็คิดได้เนอะ"
รินซัง
: "
ถ้ากูเปิดหนังสือสอนมึง มึงก็ฟังผ่านๆ
รินซัง
:
เหมือนรักที่เล่นไปวันๆ ไม่มีทางได้ความใจอย่างแท้จริงหรอก"
ผม
: "..."
#
อึ้ง
รินซัง
: "
แต่ถ้ามึงเข้าใจ
มึงจะไม่มีวันผิดพลาดกับข้อสอบข้อเดิมไม่ว่าจะพลิกแพลงมาแบบไหน ความรักก็เช่นกัน"
ผม
: "
เออ กูเสร็จแล้ว"
ผลตรวจออกมาว่าเต็ม
30
ข้อ ผมได้ 6
คะแนน
โดนบ่นจนหูชาไปสามตลบ รินซังหน้าตาจริงจังจนผมเริ่มกลัวแต่เค้าก็ไม่ปริปากพูดจาทำร้ายจิตใจผมออกมาทั้งๆ
ที่ผมก็รู้ตัวนะว่าผมโง่แค่ไหน
รินซัง
: "
มึงตั้งใจฟังที่กูสอนไหม สงสัยตรงไหนถามเลย อย่าปล่อยไว้"
ผม
: "
อืมมม"
#
เสียงยานครางบ่งบอกว่าง่วงเหลือทน
รู้สึกถึงแรงสะบัดที่หัวเบาๆ
แต่ทำให้หน้าทิ่มได้ผมเบิกตากว้างทันทีที่รู้สึกว่าโดนตบเข้าแล้วพยายามใช้ฝ่ามือตบหน้าเรียกสติ
สมาธิกลับมารินซังลุกขึ้นมานั่งซ้อนหลังผมทันที
รินซัง
: "
กูอธิบายจนคอจะแตกแล้ว แมร่ง เสือกหลับอีกนะมึง"
ผม
:"
แล้วมึงย้ายมานั่งนี่ทำไม"
รินซัง
: "
กูขี้เกียจพูดดัง
แล้วถ้ามึงไม่ตั้งใจเรียนกูได้ลงโทษง่ายๆ หน่อย"
#
กระซิบข้างหูยิ้มร้าย
เสียงแหบต่ำราวกระกระซิบเบาๆ
ใส่หูผม ทำให้อาการง่วงหายไปปลิดทิ้ง
เวลาที่รินซังโน้มตัวลงมาจับปากกาเพื่อเขียนไปอธิบายไป ระยะเราใกล้กันมากแผ่นหลังผมพิงอยู่ที่อกของรินซังได้พอดิบพอดี
ใจผมเต้นรัวจนมันจะทะลุออกมาอยู่แล้ว
ผมพยายามเพ่งสมาธิไปที่เรื่องที่เรียนไม่วอกแวกไปกับลมหายใจอุ่นที่รดต้นคอตลอดเวลา
แขนที่พาดกอดผมไว้จากด้านหลังหรือเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นดังไม่แพ้กัน
รินซัง : "
กูว่าเนื้อหาครบแล้วนะ
มึงเอาโพสเทสมาลองทำได้เลย 30
ข้อเหมือนเดิม"
ผม
: "
เออ"
รินซัง
: "
ขอกูพักสายตาแป๊บหนึ่ง"
พูดจบรินซังก็สอดแขนสองข้างมากอดผมจากด้านหลัง ก้มหน้าซบหลังผม
ความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดกำลังกระเด็นหายไป
//
ต้องไม่ตื่นเต้น สูดลมหายใจเข้าหายใจออก
//
เราต้องเพ่งสมาธิไปที่ข้อสอบ
//
เราจะไม่ทำให้รินซังผิดหวัง
//
ใจแมร่งจะเต้นอะไรหนักหนา
//
มึงก็ด้วยลูกรินน้อย อย่าเพิ่งตื่นมานะเว้ย
ผมไล่ทำไปทีละข้อๆ
บรรยากาศเงียบสนิทเหมือนจิตใจผมแน่วแน่ขึ้นหลายๆ สิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ได้ถูกนำมาใช้กับข้อสอบเสียงพลิกหน้ากระดาษเป็นเพื่อนผม
ในยามนี้ผมรู้สึกตัวตลอดและรู้สึกประหม่ามากที่ร่างรินซังกอดผมไว้แบบนี้ แม้ว่าจะพยายามยามพูดกับตัวเองให้ใจสงบแต่บางส่วนในร่างกายผมกลับไม่เชื่อฟัง
ผม
: "
เฮ้ยมึง ตื่นๆ กูเสร็จแล้ว"
#
ดิ้นตัวขลุกขลักในวงแขน
รินซัง
: "
อืมมม"
ผม
: "
รีบตรวจเลยมึง กูง่วงแล้ว"
รินซัง
: "
ง่วงห่าอะไร ถ้ามึงทำได้ไม่ถึง 20
ข้อ กูจะรื้อสอนใหม่หมด"
ผม
: "
โห้!! ไรวะ แล้วถ้ากูทำได้ถึง 20
ข้อ กูจะได้อะไร"
รินซัง
: "
มึงคิดไว้เลย แต่กูว่าไม่ได้หรอก"
รินซังโน้นตัวมาตรวจข้อสอบอย่างอ้อยอิ่ง
ในขณะที่ใจผมร้อนรนพยายามข่มความตื่นตัวที่เกิดขึ้น คิดคำขอไปเรื่อยเพื่อให้สมองไม่เบลอจนเกินไป
เพิ่งจะรู้สึกว่าวันนี้ร่างของรินซังโตกว่าผมมากเมื่อก่อนเรายังตัวเท่ากัน
แต่ช่วงปีหลังๆ มารินจังเล่นกีฬาจนสูงใหญ่
//
กูก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นปะ
กูจะขอให้มึงคลานเป็นหมาคอยดูนะไอ้พี่บ้า
//
หรือจะขอนอนห้องนี้ดีนะ เดี๋ยวก็ไม่ได้นอนกันพอดีพรุ่งนี้ยิ่งสอบด้วย
//
ขอให้พาไปเดินซื้อของดีไหม จ่ายตังค์ให้ด้วยถล่มให้จนไปเลย
//
นึกออกแล้วขออะไรดี
รินซัง: "
มึงมีสมาธิตอนทำเปล่าเนี่ย"
ผม
: "
ก็ต้องมีซิว่ะ ข้อสอบยากขนาดนี้กูทำได้ก็โคตรเก่งแล้ว"
รินซัง
: "
แล้วทำไมไม่มีสมาธิตั้งแต่ต้นจนจบ ช่วงแรกๆ มึงก็ทำได้นิ
ทำไมท้ายมึงเหมือนมั่วให้ผ่านๆ ไป"
ผม
: "
คือกูทำไม่ได้จริงๆ"
รินซัง
: "
หรอ ตอบ A
รัว 5
ข้อเนี่ยนะ"
ผม
: "
กูทำได้บวกเดาไงตามความน่าจะเป็น มึงตรวจมาเลย
ผม
:
จะได้แยกไปนอน ง่วงแล้ว"
รินซัง
: "
อะเอาไป อด!! ได้แค่ 19
ข้อว่ะ"
ผม
: "..."
#
ผมทำหน้าเซ็ง
//
กูว่าแล้วต้องไม่ถึง
//
เลยอด กู๊ดไนท์คิสเลย
ผมยังทำหน้าเซ็งและคิดด่าตัวเองไปเรื่อย
ส่วนรินซังก็เหมือนคนบ้าเดี๋ยวถอนหายใจ เดี๋ยวขำ
อะไรมั่วไปหมดอารมณ์แบบนี้น่าจะพูดอะไรเพื่อให้กำลังใจบ้างนะ
เอาแต่เงียบผมรวบตำราบนโต๊ะเตรียมจะกลับห้องตัวเอง
เพราะนี่ก็ดึกมากแล้วรู้สึกแรงกอดที่เอวแน่นขึ้น เหมือนจะใช้แรงที่แขนเรียกผม
รินซัง
: "
ทำหน้าเป็นหมาหงอยเลยมึง
เอางี้ถ้าพรุ่งนี้มึงไม่ตก
รินซัง
:
กูพาไปช็อปปิ้งจ่ายให้ด้วยพอใจไหม"
ผม
: "
จริงนะ"
รินซัง
: "
เออ ปะเดี๋ยวกูไปส่งที่ห้อง"
ผม
: "
ห๊ะ!! ส่งทำไม กูไม่หลงหรอก"
รินซัง
: "
เออน่า ถามเยอะนะมึง"
หนังสือในมือถูกรินจังรวบไปถือไว้แถมยังดึงมือผมไปทางเชื่อมข้างหลังอีกต่างหาก
ทำไมวันนี้รู้สึกว่ารินจังใจดีจังทุกวันเอาแต่ทำหน้าเรียบตึงใส่ แต่วันนี้ไม่ขัดใจผมเลยหรือว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อเช้า
มันคงมีความหมายสำหรับรินซังซินะหรือไม่ก็คงรู้สึกผิด ถึงได้ดีกับคนอย่างผมไม่รู้ว่าตอนนี้รินจังกำลังทำหน้ายังไงเห็นเดินเอาหนังสือไปวางไว้บนกระเป๋าให้
แล้วลากผมมาที่เตียง
รินซัง
: "
มึงนอนซะ"
#
ผลักผมลงนอน
ผม
: "........."
รินซัง
: "
พักผ่อนเยอะๆ นะ พรุ่งนี้มึงได้มีสมาธิสอบ"
#
ห่มผ้าให้
ผม
: "
ไมวันนี้มึงใจดีจังวะ"
รินซัง
:
ถามเยอะนะมึง หลับตาสักทีซิ"
รินซัง
: "
ฝันดีนะมึง"
ผมหลับตาลงอย่างคนว่าง่าย
รินซังกระซิบคำว่าฝันดีเบาๆ ผมรู้สึกโหยหาโมเม้นนี้มานาน ตอนนี้ปากผมคงกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหวแล้ว
ไอสัมผัสอุ่นที่ริมฝีปากเบาๆ ที่รินจังประทับไว้ทำให้ผมใจเต้นแรง ริมฝีปากประทับอยู่เนินนานก่อนจะขยับตัวน้อยๆ
อย่างคนห้ามใจ ผมรู้สึกไม่อยากเสียโอกาสรีบใช้แขนคล้องคอแล้วจูบตอบอย่างแผ่วเบาปากขยับอ้อยอิ่งราวกับอยากส่งความรู้สึกให้อีกฝ่ายได้รับรู้จูบหอมหวานชวนมวนท้องเหมือนมีกระแสไฟวิ่งอยู่ทั่วร่าง
ก่อนรินซังจะผละออก
รินซัง
: "
ถ้ามากกว่านี้ คืนนี้มึงไม่ได้นอนแน่"
ผม
: "
อืม"
รินซัง
: "
กูไปนะ"
ผมคว้าแขนไว้อีกครั้ง
หน้ารินซังที่มองผมอยู่ตอนนี้เหมือนกำลังสงสัยผมลุกตัวขึ้นในระดับความเร็วแสงหอมแก้มรินซังไปเต็มแรงก่อนจะล้มตัวลงมานอนคลุมโปรงเพราะ
แมร่งโคตรเขินกูทำอะไรลงไปเนี่ย
รินซัง
: "
มึงนี่เด็กเนอะ งั้นกูนอนนี่เลยละกัน"
#
แทรกตัวเข้าผ้าห่ม
@
ตอนเช้า
คุณแม่ : "สายแล้ว คุณรินทั้งสองยังไม่มีใครลงมาเลยเหรอสมศรี"
สมศรีสาวใช้ : "ยังค่ะ เห็นว่าเมื่อคืนติวหนังสือห้องคุณพี่ค่ะ
คงจะดึก"
คุณแม่ : "ยังงั้นเหรอ เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูหน่อยแล้วกัน"
#
ยิ้มถูกใจ
เกล็ดเล็กเกล็ดน้อย
ประวัติรถ
Lamborghini
Ferruccio
Lamborghini
เกิดในตระกูลชาวนาเขาได้มีความสนใจในด้านเครื่องยนต์เป็นพิเศษดัดแปลงเครื่องจักรกลที่ใช้ในไร่นาจนพ่อเห็นถึงความพยายามของลูกชายจึงส่งไปเรียนวิศวกรรมศาสตร์อุตสาหกรรมจักรกล
หลังจากที่เรียนจบไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง เขารับใช้ชาติทำงานให้กับฐานทัพอากาศอิตาลี
หลังสงครามสิ้นสุดเขาได้เดินทางกลับมายังบ้านเกิด
เริ่มต้นซ่อมแซมรถแทรกเตอร์ของอิตาลีที่ใช้อะไหล่จากยวดยานของทหารและนี่เองคือจุดเริ่มต้นในการตั้งโรงงานแทรกเตอร์ในชื่อว่า
Lamborghini TrattoriS.p.A.
ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
กลายเป็นบริษัทผลิตรถแทร็กเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีและยังเป็นเจ้าของกิจการเครื่องปรับอากาศอีกด้วย
Lamborghini
เริ่มมีฐานะมั่งคั่งและยังคงไม่ลืมความฝันในวัยเด็กของเขา
จึงเริ่มซื้อ Alfa Romeo, Maserati, Jaguar, Aston Martin, Corvette
และ Ferrari
รถยนต์เหล่านี้กำเนิดขึ้นในยุค 1950-1960
มีเครื่องยนต์ที่ให้แรงม้ามากกว่ารถทั่วไปและควบคุมได้ยาก
เขามักจะควบ Ferrari 250GT
วนเล่นรอบโรงงานของเขาและรู้สึกว่าเจ้าม้าลำพองนี้ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมด
ทั้งในเรื่องการควบคุมและส่วนของการให้บริการ
จึงขับพุ่งตรงเพื่อไปพบกับ
Enzo Ferrari
ด้วยตัวเองและเปิดใจในเรื่องที่เขารู้สึกย่ำแย่ที่มีต่อรถ
Ferrari
แต่ได้ถูก Enzo Ferrari
ตอกกลับว่า
Lamborghini
เป็นเพียงแค่คนบ้านนอกที่ไม่มีความรู้อะไรเลยในเรื่องที่เกี่ยวกับรถสปอร์ตต่างกับเขาที่มีอยู่เต็มในสายเลือด
ด้วยแรงฮึด
Lamborghini
จึงอยากสร้างรถของตัวเองให้ดีกว่ารถ Ferrari
ภายใต้ชื่อAutomobili Lamborghini
ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปี
1962
ซึ่งโรงงานห่างจาก Ferrari
เพียงแค่
15
กิโลเมตรเท่านั้น ต่อจากนั้นค่ายรถยนต์เจ้าของสัญลักษณ์กระทิงเปลี่ยวก็ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ของวงการรถสปอร์ตในยุโรป
ให้ได้ตื่นตะลึงกับรูปแบบของตัวรถ Lamborghini
และเทคโนโลยีของเครื่องยนต์
การวางตำแหน่งเครื่องและการบังคับควบคุมที่วิศวกรและนักขับทดสอบของบริษัทร่วมกันคิดค้นและพัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์เป็น
Lamborghini 350 GTV
(CR. Ayingzaza.wordpress.com
Page)